"วิตามินอี" เป็นวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย มีส่วนช่วยทำให้ระบบต่างๆภายในร่างกายทำงานประสานกันได้ดี ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระต่างๆที่เข้ามาทำร้ายร่างกาย ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว และที่สำคัญวิตามินอีมีส่วนช่วยในการสมานแผล รักษาแผล มีผลทำให้ช่วยในการรักษาหลุมสิวซึ่งก็คือแผลเป็นชนิดหนึ่งได้อีกด้วย
การใช้วิตามินอีในการรักษาหลุมสิว แบ่งได้เป็น 2 วิธี คือ รักษาหลุมสิวด้วยการกิน และรักษาหลุมสิวด้วยการทา
- รักษาหลุมสิวด้วยการกิน เป็นวิธีการรักษามาจากภายใน คือการทำให้ระบบการทำงานของเซลผิวมีการทำงานที่ดีขึ้น เมื่อเซลผิวสามารถทำงานได้เต็มที่ก็จะช่วยสมานแผลเป็นจากหลุมสิวได้ดีขึ้น โดยกินผักและผลไม้ที่มีวิตามินอีเยอะๆ เช่น ข้าวสาลี, บ็อคเคอลี่, ถั่ว, ธัญญาพืชต่างๆ หรืออาจจะรับวิตามินอีจากการกินอาหารเสริมวิตามินอี ที่มีขายตามท้องตลาดทั่วไป มีผลการวิจัยที่น่าสนใจตัวหนึ่งวิจัยโดยคน 100 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่มีวิตามินอีในร่างกายสูง และกลุ่มที่มีวิตามินอีในร่างกายต่ำ ผลการวิจัยระบุว่า ในกลุ่มคนที่มีวิตามินอีในร่างกายสูงมีโอกาสเป็นสิวได้น้อยกว่ากลุ่มคนที่มีวิตามินในร่างกายต่ำ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ควรกินวิตามินอีเพื่อรักษาหลุมสิวเกินปริมาณที่ร่างกายจะรับได้ ซึ่งตามมาตรฐานแล้วไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัม/วัน หรือ 1,500 IU
- รักษาหลุมสิวด้วยการทา เป็นการรักษาหลุมสิวจากภายนอก ก็คือรับวิตามินอีผ่านผิวหนังนั่นเอง โดยตามหลักการแล้วผิวหน้าที่เป็นหลุมสิวจะเป็นผิวหน้าที่ถูกทำลายอย่างรุนแรง ทำให้เส้นใยภายในผิวหรือคอลลาเจนและอิลาสตินถูกทำลาย การทาผิวด้วยวิตามินอีก็จะช่วยทำให้การสร้างเซลผิวดีขึ้นได้ ก็จะช่วยทำให้หลุมสิวบนใบหน้าของเราตื้นขึ้น และวิตามินอียังช่วย ป้องกันการอุดตันของน้ำมันบริเวณรูขุมขนได้ดีอีกด้วย ทำให้ช่วยลดการเกิดสิวบนใบหน้าได้อีกทางหนึ่ง
หลุมสิวเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากจะเป็นกัน เพราะถ้าเป็นแล้วโอกาสกลับมาเป็นปกติได้ 100% เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก และการรักษาหลุมสิวก็ต้องใช้ระยะเวลา และค่าใช้จ่ายที่เยอะ เพราะฉะนั้นเพื่อป้องกันการเกิดหลุมสิวที่ใบหน้าของเรา เราควรจะป้องกันจากต้นเหตุที่ทำให้เกิดจะดีกว่า นั่นก็คือการรักษาใบหน้าไม่ให้เป็นสิว จะเป็นสิ่งที่ป้องกันการเกิดหลุมสิวได้ดีที่สุด ซึ่งสามารถติดตามบทความการป้องกันและรักษาสิวได้จากบทความในเว็บ http://acnedefend.blogspot.com/ ของเราได้ครับ
0 ความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น