เรื่องรอยดำ รอยแดง และหลุมสิวที่เกิดจากการเป็นสิวนี่ผมว่าเขียนถึงยังไงก็ไม่จบนะครับ มันมีเรื่องที่ชวนสงสัย ชวนรู้ ชวนค้นหาอยู่เสมอ อย่างหัวข้อที่นำมาเขียนในวันนี้ก็เหมือนกัน เชื่อได้เลยว่าเป็นข้อสงสัยใคร่รู้ของใครหลายๆคน และเป็นเรื่องที่คนเป็นสิวทุกคนต้องเผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
วันนี้ Acnedefend มีข้อมูลเกี่ยวกับระยะเวลาการรักษารอยแดง รอยดำ และหลุมสิวมาฝากผู้อ่านครับ ใครที่อยากรู้ว่ารอยสิวที่เกิดขึ้นต้องใช้เวลากี่สัปดาห์ กี่เดือน หรือกี่ปีจึงจะหาย มาดูไปพร้อมกันได้เลยครับ
ปัจจัยที่มีผลต่อความเร็วในการรักษารอยสิว
- อายุ อายุมากรอยสิวหายช้า อายุน้อยรอยสิวหายเร็วกว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ
- ความรุนแรงที่เป็น เป็นรอยสิวขนาดไหน รอยดำบางๆ รอยแดงตื้นๆ หรือว่าเป็นหลุมสิวใหญ่ๆ
- สภาวะแวดล้อม
- การใช้ชีวิตประจำวัน
- ปริมาณและความถี่การเกิดสิว ถ้ายังเป็นสิวอยู่ การรักษารอยสิวให้หายเป็นไปไม่ได้เลย (สิวซ้ำซาก)
- เครื่องมือหรือครีมที่ใช้รักษา เช่น การทำเลเซอร์ , การแต้มด้วยกรด , การทาครีมลดรอยสิว , การทำ AHA , การกรอผิว , การทำ Subcision , การกระตุ้นด้วยเข็ม , การฉีด Filler แต่ละวิธีให้ผลการรักษา และความเร็วที่แตกต่างกัน
- อาหารการกิน กินอาหารที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ สามารถช่วยให้รอยสิวหายไวขึ้น
- การออกกำลังกาย ช่วยเร่งการสร้างเซลผิว ทำให้รอยสิวจางลงเร็วขึ้นได้
นี่เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการรักษารอยแดง รอยดำและหลุมสิว ที่นี้เรามาดูกันต่อว่า รอยสิวแต่ละแบบมีระยะเวลาในการรักษานานเท่าไร เอาแบบว่าตัดปัจจัยที่ช่วยเร่งให้หายเร็ว เช่น การทาครีม การยิงเลเซอร์ การทำ AHA ออกไป ให้ผิวซ่อมแซมตัวเองตามธรรมชาติต้องใช้เวลาประมาณเท่าไร
- รอยดำ หายได้เองต้องใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือน
- รอยแดง (แดงแบบมีแผลตื้นๆเกิดขึ้น) หายได้เองต้องใช้เวลาประมาณ 6-9 เดือน
- หลุมสิว ไม่มีทางหายเอง ถ้าไม่ทำอะไรเลยมันก็จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต นอกจากนี้การรักษาหลุมสิวไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ยังไงก็ไม่มีทางดีขึ้นแบบ 100%
แล้วถ้าเราใช้เครื่องมือช่วยล่ะ รอยสิวจะหายเร็วขึ้นแค่ไหน
จริงๆคงไม่สามารถระบุเป็นเวลาที่ชัดเจนได้ว่า ถ้าเราใช้เครื่องมือมาช่วยรักษารอยสิวที่เกิดขึ้นแล้วมันจะช่วยให้รอยสิวจางหรือหายได้เร็วมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ได้บอกไว้ข้างต้น แต่ที่แน่ๆมันหายเร็วกว่าแน่นอน ถ้าให้พูดจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของผม อย่างเช่น
รอยดำบางๆ
ถ้าเราทาครีมลดรอยสิวที่มีส่วนผสมของพวก วิตามิน E , วิตามิน C , Allium cepa , กรดวิตามินเอ , Arbutin , Kojic acid , Azelaic acid ประมาณ 2-3 สัปดาห์รอยสิวก็จะเริ่มจางลง 4-6 สัปดาห์ก็คงหาย ขอย้ำนะครับว่ารอยบางๆ
รอยแดงลึกไปอีกหน่อย
ก็อาจต้องพึ่งการกรอผิว หรือการทำ AHA เข้าช่วยเพื่อช่วยผลัดเซลผิวชั้นบนให้จุดด่างดำต่างๆหลุดลอกออกไปเร็วขึ้น รวมไปถึงช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้น เวลาที่ใช้ก็น่าจะประมาณ 2-3 เดือนขึ้นไป
หลุมสิว
ต้องใช้พวกเลเซอร์ การกระตุ้นด้วยเข็ม การแต้มด้วยกรด TCA เข้าช่วย หรือแม้กระทั่งการฉีด Filler ที่สามารถช่วยเติมหลุมสิวได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็เป็นเพียงการแก้ปัญหาระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งวิธีการรักษาที่ว่ามานี้ต้องให้หมอเป็นคนทำให้ครับ ถ้าทำเองอาจมีความเสี่ยงทำให้ปัญหาหลุมสิวแย่กว่าเดิมได้ ส่วนระยะเวลาการรักษาหลุมสิวให้หายนี่กำหนดไม่ได้เลย มันไม่มีทางหายสนิท ต้องใช้เวลานานเป็นปีๆ นอกจากจะต้องใช้เครื่องมือเข้าช่วยแล้ว ยังต้องใช้การฟื้นฟูผิวหนังของแต่ละคนเข้าช่วยด้วย เพราะการรักษาหลุมสิวแต่ละวิธีเป็นเพียงการกระตุ้นให้ร่างกายเราสร้างเนื้อหรือผิวหนังใหม่ขึ้นมาแทนผิวเก่าที่เสียไปเท่านั้น ไม่ได้มีการเติมอะไรลงไปแล้วทำให้ผิวเต็มขึ้นมาทั้งสิ้น (ยกเว้นการฉีด Filler นะ)
เรียงลำดับความเร็วของเครื่องมือที่ใช้รักษารอยสิว และหลุมสิว (เร็ว -> ช้า)
1. เลเซอร์ลดรอยสิว หลุมสิว
2. การกระตุ้นด้วยเข็ม , Subcision
3. แต้มด้วยกรด TCA
4. กรอผิว
5. ทำทรีทเม้นท์ AHA
6. ทาครีมลดรอยสิว , BHA , ยารักษาสิวบางชนิด
อ่านจบแล้วหลายคนก็คงต้องทำใจยอมรับกับปัญหารอยสิวที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรอยแดง รอยดำ หรือหลุมสิว ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นกับตัวเองแน่นอน ทางที่ดีเราควรแก้ปัญหาที่ต้นเหตุก็คือ พยายามรักษาสิวให้หาย หรือถ้าตอนนี้ยังไม่หายก็พยายามอย่าให้สิวที่เป็นอักเสบ เพราะถ้าสิวยิ่งอักเสบบวมโตมากเท่าไร การรักษาให้หายก็จะยากขึ้น ส่วนใหญ่คนที่มีปัญหาหลุมสิวก็มาจากสิวอักเสบนี่แหละครับ
นอกจากนี้การแกะสิว บีบสิว กดสิวอย่างไม่ถูกวิธีก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดรอยสิวได้อย่างง่ายดาย ถ้าใครไม่อยากให้รอยสิวอยู่บนหน้านานๆก็อย่าทำกิจกรรมที่ว่านี้นะครับ Acnedefend ขอเป็นกำลังใจให้คนเป็นสิวทุกๆคน
0 ความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น