หากพูดถึงยาทารักษาสิว ชื่อของ Retin-A และ Isotrexin คงจะมาเป็นอันดับต้นๆ เพราะทั้ง Retin-A และ Isotrexin ต่างก็เป็นยาทารักษาสิวที่มีคนนิยมใช้ และพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง บ้างก็บอกว่าใช้แล้วสิวหายหน้าใส บ้างก็บอกว่าใช้แล้วหน้าแพ้ สิวเห่อขึ้นมาเต็มหน้า
ซึ่งไม่ว่าผลการรักษาสิวหรือผลข้างเคียงของ Retin-A และ Isotrexin จะเป็นยังไงก็แล้วแต่ ผมก็ยังคิดว่ายาทารักษาสิวก่อนเข้านอนทั้ง 2 ตัวนี้มันต้องมีดีอยู่ในตัวของมัน ที่แน่ๆมันต้องสามารถช่วยแก้ปัญหาสิวได้อย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะในเรื่องของสิวอุดตัน ซึ่งจัดว่าเป็นจุดเด่นของยาทั้ง 2 ตัวนี้
แต่วันนี้ Acnedefend ไม่ได้จะมาพูดถึงความสามารถในการรักษาสิวของยาทั้ง 2 ตัวนี้หรอกครับ สำหรับบทความนี้เราจะมาพูดถึงความแตกต่างระหว่าง Retin-A และ Isotrexin ว่ายาทารักษาสิวทั้ง 2 ตัวนี้ มีจุดเด่น จุดด้อยที่แตกต่างกันยังไง มีตัวยาอะไรที่สำคัญบ้าง ตัวไหนแรงกว่ากัน และที่สำคัญคือตัวไหนใช้รักษาสิว ลดการเกิดสิวบนใบหน้าได้ดีกว่ากัน ซึ่งเชื่อว่าเป็นคำถามที่คนเป็นสิวหลายคนอยากจะรู้ เอาล่ะครับเรามาเข้าสู่สนามต่อสู้ของยาทารักษาสิวทั้ง 2 ตัวได้แล้ว ณ บัดนี้
ความแตกต่างระหว่าง Retin-A และ Isotrexin
ความแตกต่างของตัวยาที่สำคัญบางตัว
ความจริงแล้วทั้ง Retin-A และ Isotrexin ต่างก็จัดเป็นยาที่อยู่ในกลุ่ม Tretinoin หรือ กรดวิตามิน A เหมือนกัน แต่ความแตกต่างระหว่างผลิตภัณฑ์ Retin-A และ Isotrexin ที่เห็นได้ชัดก็คือ Retin-A นั้น จะมีตัวยาหลักตัวเดียวก็คือ tretinoin แต่ถ้าเป็น Isotrexin ที่วางขายกันจะมีส่วนผสมของ Isotretinoin และ Erythromycin ซึ่งตัวยาตัวแรกจะเป็นตัวยาที่อยู่ในตระกูลกรดวิตามินเอเหมือนกัน แต่ตัวหลังคือ Erythromycin จะเป็นตัวยาที่ใช้ในการฆ่าเชื้อสิว ซึ่งเป็นตัวยาที่มีอยู่ในยาแต้มสิวบางตัวด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นถ้ามองถึงส่วนผสมตรงนี้ Isotretinoin ดูเหมือนว่าจะมีความสามารถที่มากกว่า Retin-A คือ นอกจากจะช่วยจัดการสิวอุดตันได้ด้วยแล้ว ยังสามารถใช้ลดอาการอักเสบของสิวได้ดีอีกด้วย
ความเข้มข้นของผลิตภัณฑ์
เราจะวัดความเข้มข้นของ Retin-A และ Isotrexin ด้วย % ของตัวยา tretinoin ที่อยู่ในหลอด โดย Retin-A นั้นจะมีขนาดหลักๆอยู่ 3 ขนาด คือ 0.025% , 0.05% และ 0.1% ในขณะที่ Isotrexin ที่เราเห็นกันมากที่สุด จะมีตัวยาหลักๆคือ tretinoin 0.05% กับ Isotrexin ที่มีตัวยา 2 ตัวผสมกัน ก็คือ tretinoin 0.05% + Erythromycin 2% ซึ่งในเรื่องความเข้มข้นของทั้ง 2 ตัวนี้ก็มีตัวที่เท่ากันคือที่ 0.05% แต่ก็ยังตัวยาหรือส่วนผสมอื่นๆที่อาจแตกต่างกันเล็กน้อย
กลิ่นของผลิตภัณฑ์
ผมว่ากลิ่นของ Isotrexin มันแรงกว่า Rein-A นะ Isotrexin กลิ่นมันจะเหมือนกลิ่นลูกโป่งวิทยาศาสตร์ที่เราชอบเป่าเล่นกันตอนเด็ก ใครที่อายุประมาณผมคงจะเคยเล่นกัน ผมว่ากลิ่นมันเหม็นกว่ากว่า Retin-A เยอะเลย ใครที่ไม่ชอบกลิ่นเหม็นๆก็อาจจะไม่ชอบใช้ Isotrexin ได้
ความแรงของผลิตภัณฑ์
หากพูดถึงความแรงของ Retin-A และ Isotrexin นั้นผมว่ามันแรงพอๆกัน คือใช้แล้วยังไงก็ต้องผจญกับอาการ หน้าแห้ง ปากแห้ง แสบ แดง ลอก เป็นขรุย กันถ้วนหน้า ใช้แล้วยังไงก็ต้องทาพวกมอยเจอไรเซอร์ช่วยให้ความชุ่มชื้นกับผิวเพิ่มเติม รวมไปถึงต้องทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้าน เพื่อป้องกันการโดนเผาจากแดดจนหน้าดำคล้ำได้ เพราะการทายารักษาสิว Retin-A และ Isotrexin จะเป็นการสั่งให้ผิวหน้าเราผลัดเซลผิวอย่างรุนแรง ซึ่งจะทำให้ผิวหน้าของเราบางลงในช่วงที่ใช้ยาอยู่ แต่ความแรงของทั้ง Retin-A และ Isotrexin ก็ต้องเทียบกันที่ความเข้มข้นเท่าๆกันนะ คือที่ความเข้มข้นที่ 0.05% แต่ถ้าคิดว่า % มันสูงไป ก็อาจต้องเลือกใช้ Retin-A ที่ความเข้มข้น 0.025% แทน Isotrexin ที่ความเข้มข้น 0.05% ก็แล้วกัน
ความแตกต่างของผลการรักษาสิว
ทั้ง Retin-A และ Isotrexin จัดเป็นยาที่ใช้ทาก่อนเข้านอนทั้งคู่ เพราะตัวยาหลักเป็นตัวยาเดียวกัน โดยจะช่วยให้ผิวผลัดตัวเร็ว ลดการอุดตันที่รูขุมขน ช่วยลดปัญหาการเกิดสิวอุดตันได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงยังช่วยลดปัญหาริ้วรอย จุดด่างดำที่เกิดจากสิวได้อีกด้วย แต่ถ้าพูดถึงความแตกต่างของผลการรักษาสิวระหว่าง Retin-A และ Isotrexin แล้วนั้น Retin-A จะเหมาะกับการทาเพื่อรักษาสิวอุดตันอย่างเดียว ในขณะที่ Isotrexin สามารถช่วยรักษาสิวอุดตัน และสิวอักเสบไปในตัวได้ด้วย แต่ถ้าจะให้ฟันธงว่าตัวไหนดีกว่ากันก็คงจะไม่ได้ เพราะมันขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้มีปัญหาสิวแบบไหนมากกว่า ถึงแม้ว่าตัวยาสำคัญที่ใช้ในการรักษาสิวของทั้ง 2 ตัวจะเป็นตัวเดียวกัน แต่ก็ยังมีตัวยาและส่วนผสมอื่นๆอีกที่เราไม่รู้จัก แล้วเราก็ไม่รู้ว่าผิวหน้าของเราจะแพ้หรือไม่ สงสัยต้องลองด้วยตัวเองถึงจะรู้
ความแต่งต่างของราคาระหว่าง Retin-A และ Isotrexin
ราคาของ Retin-A และ Isotrexin จัดว่าต่างกันมากอยู่ โดย Retin-A ที่ความเข้มข้น 0.05% 10 กรัม อยู่ที่ ประมาณหลอดละ 120 บาท ส่วน Isotrexin gel ที่ความเข้มข้น 0.05% 10 กรัม ราคาประมาณหลอดละ 200 -250 บาท ราคาต่างกันเกือบ 2 เท่า สงสัยเพราะ Isotrexin gel มันใส่ตัวยา(Erythromycin )เข้าไปมากกว่าหรือเปล่า ก็เลยแพงกว่าแบบนี้
ครับ นี่ก็เป็นความแตกต่างระหว่าง Retin-A และ Isotrexin ที่ผมพอจะนึกออก ยังไงก็ลองเลือกใช้ตามสภาพผิวหน้าและสิวของเราก็แล้วกันครับ ซึ่งยาทารักษาสิวทั้ง 2 ตัวจะใช้ทาก่อนเข้านอน โดยที่ไม่ต้องล้างออก เว้นแต่ว่าเราเป็นมือใหม่หัดทาผิวอาจจะยังไม่แข็งแรงพอ ก็อาจจะเริ่มจากการทาทิ้งไว้สัก 10-15 นาที แล้วจึงล้างออก จากนั้นค่อยๆเพิ่มเวลาขึ้นในวันต่อมา จนสุดท้ายสามารถทาทิ้งไว้ทั้งคืนโดยไม่เกิดอาการหน้าบวม แดง คัน แต่อย่างใด โดยในช่วงแรกๆเราอาจต้องผจญกับเม็ดสิวที่ผุดขึ้นมาบนหน้าอย่างมากมาย เนื่องจากตัวยามันจะดันสิวอุดตันที่สะสมอยู่ใต้ผิวของเราออกมา ในช่วง 2-3 สัปดาห์แรก อย่าเพิ่งตกใจให้ใช้ต่อไปเรื่อยๆ สัก 6-8 สัปดาห์จะเห็นการเปลี่ยนแปลง หน้าจะดีขึ้น สิวจะน้อยลง สิวอุดตันจะหายไป ใบหน้าเรียบเนียนขึ้น
แต่ข้อควรระวังในการใช้ยาทารักษาสิวทั้ง Retin-A และ Isotrexin ก็คือ ระวังผิวเราแพ้ เพราะมันเป็นกรดวิตามินเอ ซึ่งทำให้ผิวระคายเคืองได้ง่าย ถ้ามีอาการแสบ หน้าแดงจัด หรือมีตุ่มหนองขึ้นมา ก็ควรหยุดใช้และรีบไปหาหมอผิวหนังโดยด่วน เพราะเราอาจจะแพ้ยาเข้าให้แล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกไว้ก็คือ ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอนี้ ไม่เหมาะกับการใช้ในหญิงมีครรภ์ อาจมีผลกระทบต่อเด็กในท้องได้ เพราะฉะนั้นใครตั้งท้องอยู่อย่าใช้ยาทั้ง 2 ตัวนี้ดีที่สุดครับ
สุดท้ายนี้อยากฝากไว้ ถึงแม้ว่าทั้ง Retin-A และ Isotrexin จะสามารถช่วยแก้ปัญหาสิวได้ก็ตาม แต่ไม่ได้มีอะไรมาการันตีว่าคนที่ใช้ยาทารักษาสิวทั้ง 2 ตัวนี้จะหายแน่นอน ก็ต้องเผื่อใจไว้ด้วย และการรักษาสิวที่ดีอาจต้องใช้หลายๆวิธีการควบคู่กันไป ทายาบ้าง กินยาบ้าง ดูแลสุขภาพโดยรวมบ้าง ก็อยู่ที่ว่าเราจะเลือกทำแบบไหน ก็เลือกตามวิธีที่เราสะดวกและเห็นว่าดีที่สุดก็แล้วกันครับ แต่ถ้านึกอะไรไม่ออกก็กลับมาที่บล็อก Acnedefend ได้เสมอ ที่นี่มีคำตอบและทางออกให้กับคนเป็นสิวทุกคน แน่นอนครับ ^^
อยากทราบว่า Retin-A กับ BHA มีคุณสมบัติแตกต่างกันอย่างไร และใช้ตัวไหนดีกว่ากัน
ตอบลบ