"เมื่อมีสิว แผลเป็นสิวย่อมเกิด" เป็นความจริงที่คนเป็นสิวหลีกเลี่ยงไม่ได้ พอเป็นสิวไม่ว่าจะเม็ดเล็กเม็ดใหญ่ สุดท้ายเมื่อสิวหายก็จะทิ้งแผลเป็นจากสิวทั้งรอยแดง รอยดำ หรือหนักๆก็เป็นหลุมสิวกันเลยทีเดียว เชื่อว่าหลายๆคนคงจะประสบปัญหาแผลเป็นจากสิวอยู่ไม่มากก็น้อย ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ได้รับอานิสงส์แผลเป็นสิวนี้มาแบบเต็มๆหน้าเช่นกัน เป็นตั้งแต่เป็นวัยรุ่นจนตอนนี้จะ 30 แล้วก็ยังไม่หายขาด แต่ก็เริ่มดีขึ้นตามกาลเวลา และการรักษาบ้างในบางครั้ง วันนี้จึงอยากเขียนเรื่อง "การรักษาแผลเป็นจากสิว" ขึ้นมา เผื่อเพื่อนๆที่ต้องการได้ข้อมูลการรักษา จะได้ตัดสินใจถูกว่าเราควรจะรักษาด้วยวิธีไหนถึงจะเหมาะสมกับตัวเราที่สุด
Laser รักษาแผลเป็นจากสิว หลุมสิว
ตอนนี้การรักษาแผลเป็นจากสิวด้วย Laser ได้รับความนิยมฟีเวอร์เอามากๆ สังเกตได้จากการเกิดใหม่ของคลินิค และเทคโนโลยีที่ออกมาใหม่ๆให้เราได้ควักกระเป๋าจ่ายแทบไม่ทัน การรักษาแผลเป็นจากสิวด้วยเลเซอร์ เหมาะกับคนที่ต้องการความรวดเร็วของการรักษา และที่สำคัญคือมีกำลังทรัพย์ที่พร้อมจะจ่ายเงินแลกกับผลลัพธ์ที่ต้องการ เลเซอร์มีอยู่หลายชนิดด้วยกัน ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามคลื่นของแสงเลเซอร์ รวมไปถึงความสามารถในการทะลุทะลวงเข้าไปรักษาแผลเป็นหลุมสิวตามชั้นผิวต่างๆ โดยจากหลักการทำงานส่วนใหญ่ของเลเซอร์ก็จะคล้ายๆกันคือยิงไปเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลผิวใหม่ หรือคอลลาเจน ทดแทนเซลที่ได้เสียไป ซึ่งจะต้องมีการทำหลายครั้งและต้องมีช่วงการพักฟื้นเป็นระยะๆ หากใครมีตังค์ผมก็แนะนำให้ใช้วิธีนี้เลยครับ มีให้เลือกหลายวิธีซึ่งผมได้รวบรวมไว้ในบล็อคนี้แล้วครับนี่นี่ http://acnedefend.blogspot.com/search/label/Laser หลุมสิวเติมสารเติมเต็ม filler
การเติมสาร filler เข้าไปที่แผลเป็นสิวส่วนใหญ่จะใช้สาร Collagen (คอลลาเจน) และ Hyaluronic Acid (ไฮยาลูรอนิค เอซิท) เป็นหลัก เนื่องจากได้รับการรับรองจาก อย.แล้วว่ามีความปลอดภัยสูง วิธีการก็ฉีดเข้าที่บริเวณแผลเป็นหลุมสิวให้เต็ม ซึ่งการฉีดครั้งนึงก็จะอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน - 1ปี แล้วแต่คุณภาพของสารที่ฉีดเข้าไป พอถึงเวลาก็ไปฉีดซ้ำคล้ายการฉีด Botox ราคาก็ประมาณ 8,000-15,000 ต่อ 1 cc วิธีการนี้เหมาะกับคนที่ต้องการความเร่งด่วนแบบที่สุด แต่ไม่ต้องการรักษาให้หายขาด ส่วนเรื่องความปลอดภัยอาจมีในบางรายที่มีอาการแพ้ แต่เกิดขึ้นน้อยมากๆ เพราะสารที่ฉีดเข้าไปก็เป็นสารที่ร่างกายมีอยู่แล้ว จึงไม่เป็นอันตรายๆใด เว้นแต่ว่าจะมีการเจือปนสารอื่นๆเข้าไปเช่น เม็ดพลาสติก ก็ต้องระวังกันไว้ด้วยใช้วิธีการผ่าตัดที่แผลเป็นสิว
การผ่าตัดที่แผลเป็นสิวเหมาะกับแผลเป็นที่มีลักษณะเป็นแผลนูน หรือคีลอยด์ ก็เหมือนกับการผ่าตัดทั่วไป คือผ่าทิ้งหรือเพื่อลดขนาดให้เล็กลง สามารถไปรักษาได้ตามสถานพยาบาลความงามทั่วไปทำ AHA หรือการผลัดเซลล์ผิว
หรือเรียกง่ายๆว่าการลอกหน้านั่นเอง เป็นวิธีการรักษาที่มีมานานมากๆ มาก่อนการทำเลเซอร์ ส่วนใหญ่จะทำเพื่อให้หน้าขาวกระจ่าง แต่ก็สมารถใช้รักษาแผลเป็นจากสิวในรายที่เป็นไม่มาก ซึ่งสารที่ใช้ส่วนใหญ่ก็คือ กรดไกลโคลิก และ (Lactic Acid) กรดแลกติก การทำก็สามารถทำได้ตามสถานเสริมความงามต่างๆ หรือเดี๋ยวนี้ก็มี AHA วางขายตามท้องตลาดๆมากมายสามารถทำเองได้ที่บ้าน วิธีการทำก็คือ ทาAHAให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที หน้าจะรู้สึกคัน ยุบยิบหน่อย จากนั้นก็ล้างออกด้วยน้ำสะอาด เช็ดหน้าให้แห้ง และทาครีมบำรุงและครีมกันแดด ครีมกันแดดสำคัญมากครับ เพราะการทำ AHA จะทำให้หน้าเราไวต่อแสงมากขึ้น แล้วไม่ควรทำบ่อยทำแค่สัปดาห์ละ 1 ครั้งก็พอการกระตุ้นด้วยเข็ม
เป็นการรักษาแผลเป็นจากสิวด้วยการใช้เข็มขนาดเล็กกลิ้งลงไปบริเวณที่เป็นแผลหลุมสิวของเรา ซึ่งเป็นการทำลายเซลล์ผิวบริเวณนั้น เพื่อให้ร่างกายเร่งสร้างเซลล์คอลลาเจนขึ้นมาทดแทน ทำให้แผลเป็นหลุมสิวตื้นขึ้นได้ เป็นวิธีที่ได้ผลมากอีกวิธีหนึ่ง แต่การทำนั้นเจ็บอย่าบอกใคร ผมลองมาแล้วทำแต่ละครั้งน้ำตาเล็ดเลยครับ อีกวิธีหนึ่งคือการทำ Subcision ซึ่งก็ใช้เข็มเหมือนกันแต่ใช้เพื่อเซาะบริเวณที่เป็นหลุมสิวแต่ละหลุม เพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่เหมือนกัน เหมาะกับแผลเป็นสิวที่เป็นมานาน แบบว่ามีพังผืดมายึดไว้ ซึ่งทั้ง 2 วิธีผมได้เขียนวิธีแบบละเอียดไว้แล้วติดตามดูได้ที่ การทำ Dermaroller , การ Subcisionการแต้มด้วยกรด TCA
เป็นการรักษาแผลจากผู้ป่วยโรคผิวหนัง เช่น หูด สิว ฝ้า กระ ริ้วรอย จุดด่างดำ ไฝ และติ่งเนื้อเล็ก ๆ ที่ขึ้นตามลำคอ เพื่อลอกผิวออก เป็นสารที่ใช้โดยแพทย์แนะนำเท่านั้นครับ เพราะมันแรงมาก หากหาซื้อมาใช้เองแล้ว % ของกรดที่ใช้ไม่เหมาะสมกับเราอาจเกิดอาการแพ้ หน้าไหม้ บวมแดง ได้ จัดเป็นยาที่อันตรายตัวหนึ่ง คือที่แนะนำตัวนี้เพื่อให้รู้จักว่ามันใช้รักษาได้เท่านั้นนะครับ ไม่แนะนำให้ไปซื้อมาใช้เองนะครับนี่ก็เป็นวิธีการรักษาแผลเป็นจากสิวที่หลักๆที่รวบรวมมาได้ครับ มีวิธีรักษาแผลเป็นอีกมากมายที่ไม่ได้พูดถึงก็ต้องขออภัยด้วย ซึ่งการที่เราจะใช้วิธีการใดในการรักษา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความปลอดภัยในชิวิต เลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเรามากที่สุด ไม่อย่างนั้นหากพลาดไปก็ต้องกลับมาแก้ไขกันแบบหน้าปวดหัว อย่างที่หลายๆคนคงเจอกันมาแล้ว สุดท้ายแล้วการรักษาด้วยวิธีแบบธรรมชาติ คือรักษาจากการปรับตัวของเราให้อยู่ในภาวะปกติ รับแต่สิ่งที่มีประโยชน์เข้ามาให้กับชิวิต น่าจะเป็นการรักษาที่ยั่งยืนและได้ผลมากที่สุดครับ
0 ความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น