หยุดพักผ่อนไปหลายวันได้กลับมาเขียนบทความอีกทีรู้สึกดีมากๆ วันไหนไม่ได้เขียนเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง วันนี้เลยจัดบทความการรักษาสิว สิวหนอง จุดด่างดำด้วย "ใบบัวบก" สมุนไพรไทย เอาใจคนชอบรักษาด้วยวิธีธรรมชาติกันสักหน่อย ก่อนอื่นมาดูสรรพคุณของใบบัวบกกันว่ามันจะช่วยรักษาสิวได้ยัง?
ใบบัวบกกับการรักษาสิว ?
ใบบัวบกจัดเป็นพืชสมุนไพรสารพัดประโยชน์อีกตัวหนึ่งที่คนไทยรู้จักเป็นอย่างดี โดยเฉพาะสรรพคุณในการแก้ร้อนใน แก้ช้ำใน ถึงขนาดว่าใครอกหักมักจะไล่ให้ไปกินน้ำใบบัวบกกัน จะได้หายช้ำอกช้ำใจได้บ้าง และอีกหนึ่งสรรพคุณที่ต้องหยิบยกมาในวันนี้ก็คือสรรพคุณเกี่ยวกับผิวพรรณ โดยเฉพาะในเรื่องของการใช้ใบบัวบกช่วยรักษาสิว จุดด่างดำ ริ้วรอยที่เกิดขึ้นบนใบหน้า ไม่ว่าจะเกิดจากการบีบสิว กดสิว เค้นสิว หรือแม้กระทั่งรอยตีนกาก็สามารถช่วยให้ลดลงได้ ในใบบัวบกมีสารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายทั้งจากภายในและภายนอก สารที่ช่วยในการรักษาสิวที่เด่นๆนั้นคือ สารไกลโคไซด์(Glucosides) ซึ่งได้รับการทดลองมาแล้วว่าช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และที่สำคัญสามารถช่วยผิวฟื้นฟูและสร้างคอลลาเจน อิลาสติน ซึ่งเป็นชั้นผิวที่ถูกทำลายเวลาที่เกิดรอยแผลสิว หรือริ้วรอยของวัย ให้เพิ่มมากขึ้นทดแทนชั้นผิวที่ถูกทำลายไป ใบบัวบกจึงสามารถใช้รักษาจุดด่างดำจากสิว รอยแดง รวมไปถึงริ้วรอยของวัยได้อีกด้วย
นอกจากนี้สารในใบบัวบกยังสามารถต้านพวกเชื้อจุลินทรีย์ได้ดีอีกด้วย เช่น การต้านเชื้อ S.aureus ที่เป็นสาเหตุให้เกิดการเป็นหนองขึ้น เวลาเป็นสิวหัวหนองเอามาแต้มที่สิวช่วยลดหนองได้เป็นอย่างดี การใช้ใบบัวบกเพื่อการรักษาสิวนั้นสามารถใช้ได้ทั้งกินและทาควบคู่กันไป มาดูสูตรรักษาสิวด้วยใบบัวบกกันดีกว่าว่ามีอะไรกันบ้าง
สูตรทำน้ำใบบัวบก ช่วยรักษาสิวจากภายใน
น้ำใบบัวบกนั้นจัดเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็น ช่วยแก้อาการช้ำใน อาการร้อนในได้เป็นอย่างดี โดยทางการแพทย์จีนบอกว่าสิวเกิดจากการที่ในร่างกายของเราร้อนเกินไป การดื่มน้ำใบบัวบกเข้าไปจะไปช่วยดับร้อนภายใน ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ส่งผลช่วยลดการเกิดสิวใหม่ได้ดีและยังช่วยให้เวลาที่เป็นสิวสิวจะหายได้เร็วมากยิ่งขึ้น
อุปกรณ์
- ใบบัวบก 100 กรัม
- น้ำต้มสุกพออุ่น 200 มิลลิลิตร
- เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
- น้ำตาล 1 ช้อนชา
วิธีทำน้ำใบบัวบก
- นำใบบัวบกนำมาหั่นเป็นท่อนๆพอประมาณ จากนั้นนำไปตำด้วยครกที่สะอาด ถ้าไม่เคยผ่านการตำพริกมาจะดีมาก หรือถ้าใครอยากได้รสชาตแบบเผ็ดนิดๆก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าใครมีเครื่องปั่นก็ใช้เครื่องปั่นก็ได้สะดวกดี
- พอตำหรือปั่นพอละเอียดแล้วให้ใส่น้ำต้มสุก 200 มิลลิตรเข้าไป หรือประมาณ 2 แก้วน้ำขนาดปกติ แล้วก็ปั่นให้เข้ากัน
- จากนั้นนำมากรองด้วยผ้าขาวบาง พอกรองเสร็จก็ให้บีบใบบัวบกที่อยู่ในผ้าให้หมดจนหยดสุดท้ายด้วย จะได้น้ำใบบัวบกที่เข้มข้นมากๆ
- จากนั้นก็เติมเกลือป่น 1/2 ช้อนชา และน้ำตาล 1 ช้อนชาตามลงไป คนให้น้ำตาลและเกลือละลายเป็นอันใช้ได้ เวลาดื่มจะได้ง่ายหน่อย น้ำใบบัวบกนั้นเรื่องรสชาติก็คงไม่เท่าไรแต่กลิ่นนี่เหม็นเขียวได้ใจเลย ใครกินครั้งแรกอาจจะกินไม่ลงได้ต้องทนๆไปก่อน แต่ถ้าใครกินแบบสดๆได้โดยไม่ต้องใส่น้ำตาลกับเกลือได้เลยจะดีมาก ถ้าใครกินได้ข้าน้อยขอคาระวะเลย เพราะข้าน้อยกินเพียวๆไม่ได้จริงๆ
สูตรพอกหน้าด้วยใบบัวบก
สูตรพอกหน้าด้วยใบบัวบกนั้นเป็นสูตรที่ทำได้ง่ายๆที่บ้าน วิธีทำก็แค่หาใบบัวบกมาตำหรือจะปั่นก็ได้ โดยใส่น้ำลงไปเล็กน้อยพอขลุกขลิก จากนั้นก็นำใบบัวบกมาพอกหน้าทิ้งไว้สัก 15-20 นาที แล้วค่อยล้างออก จะให้ดีก็พอกมันทั้งน้ำทั้งกากเลยจะได้สารไกลโคไซด์(Glucosides) เยอะๆ คอลลาเจนจะได้โตเร็วๆ อ้อ! ลืมบอกไปก่อนเอามาตำอย่าลืมล้างน้ำให้สะอาดก่อนนะ โดยเอาไปแช่น้ำไว้สัก 20 นาทีก่อนแล้วก็ล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นค่อยเอามาตำไม่งั้นเดี๋ยวได้สิ่งแปลกปลอมแถมมาไม่รู้ด้วยนะ
สูตร 3 ทหารเสือพอกหน้า (ใบบัวบก + ขมิ้นชัน + น้ำผึ้ง)
สูตรนี้เป็นสูตรพอกหน้าที่ใช้ลดการเกิดสิว ลดริ้วรอย และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับหน้า เหมาะกับคนผิวแห้งเป็นอย่างมาก แต่ผิวมันก็ใช้ได้เหมือนกัน วิธีทำก็เอาน้ำใบบัวบกที่คั้นออกมาได้จากสูตรข้างบน ผสมผงขมิ้นชัน(มีขายทั่วไปตามตลาด) และน้ำผึ้งลงไปในอัตราส่วน
- น้ำใบบัวบก 2 ช้อนโต๊ะ
- ผงขมิ้นชัน 1 ช้อนชา
- น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
สำหรับสูตรดื่มน้ำใบบัวบกนั้นสามารถดื่มได้ทุกวันตามความพอใจ อาจจะคั้นไว้เยอะๆแล้วแช่ตู้เย็นไว้ก็ได้สะดวกและช่วยให้ดื่มได้ง่ายขึ้น หรือถ้าขี้เกียจทำก็ไปหาซื้อแบบสำเร็จรูปมาเลยก็ได้เห็นแม่ค้าพ่อค้าคั้นขายกันเยอะอยู่ ส่วนสูตรพอกหน้าด้วยใบบัวบกนั้นทำสัก 3 วันต่อสัปดาห์ก็พอ พอกบ่อยๆเดี๋ยวจะกลายเป็นไปรบกวนหน้ามากเกินไป หากใครสามารถใช้ใบบัวบกทั้งกินและทาไปพร้อมๆกันได้รับรองได้เลยว่าผิวหน้าจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สิวและรอยสิวก็จะจางลง แต่ต้องใช้เวลานานหน่อยนะอย่างน้อยๆก็ 3 เดือนกว่าจะเห็นผล ของธรรมชาติก็อย่างนี้แหละนานหน่อยแต่ว่าชัวร์ "ช้าแต่ชัวร์ ก็ยังดีกว่าเร็วแต่เสี่ยง" จริงมั๊ยครับ
0 ความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น