เมื่อวานผมไปออกกำลังกายตีแบดตามปกติ แล้วบังเอิญผมได้ไปเจอพี่ที่ผมเคารพรักมากๆคนหนึ่ง เค้าแวะมาแถวนั้นพอดีก็เลยมีเรื่องคุยกันเยอะเลย หนึ่งในเรื่องที่คุยกันก็คือเรื่องเกี่ยวกับการรักษาสิวบนหน้าของพี่เค้า แต่ก่อนที่จะเล่าผมขอให้นามสมมุติพี่ของผมว่า "พี่เอก" ก็แล้วกันครับ จะได้เล่าได้สะดวกหน่อย
ความจริงแล้วผมเคยเล่าเรื่องสิวๆของพี่เอกมาครั้งหนึ่งแล้ว ถ้าใครยังไม่เคยอ่านหรืออ่านแล้วแต่จำไม่ได้ สามารถย้อนกลับไปอ่านได้ที่บทความนี้ครับ มี Case study มาเล่าสู่กันฟัง จากหน้าใสไม่มีสิว กลายเป็นสิวเห่อเต็มหน้า หรือถ้าใครขี้เกียจอ่านผมก็จะเท้าความสั้นๆให้ฟังก่อนเพื่อจะได้เห็นภาพไปพร้อมๆกัน
สภาพสิวและผิวหน้าของพี่เอก ณ ตอนนั้น
ตอนที่ผมเขียนบทความแรกเกี่ยวกับพี่เอกนั้น ตอนนั้นพี่เอกมีสิวเห่อขึ้นมาเยอะจริงๆ เยอะจนผมตกใจ เพราะเมื่อก่อนแกเป็นคนหน้าใสแทบไม่มีสิวเลย แต่ตอนที่เจอคือแกมีสารพัดสิวทั้ง สิวผด สิวอักเสบ สิวอุดตัน ที่หน้าผาก แก้ม คาง มีหมดเกือบทั้งหน้า ไม่น่าเชื่อจริงๆ
เจอกันล่าสุดหน้าใสขึ้นเยอะ
เมื่อวานนี้ได้มีโอกาสเจอพี่เอกอีกครั้ง ครั้งแรกที่เจอหน้ากันก็ต้องบอกเลยว่าหน้าของพี่แกดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตาจริงๆ ซึ่งจริงๆแล้วผมอยากถามพี่แกมากว่าไปทำอะไรมาทำไมหน้าถึงดูดีสิวหายไปเยอะได้ขนาดนี้ แต่ผมก็ต้องเก็บคำถามนี้ไว้ในใจเพราะกลัวว่าจะเสียมารยาทมากเกินไป
แต่แล้วสวรรค์ก็เข้าข้างผม ตอนแรกก็พูดคุยกันเรื่องๆทั่วๆตามประสาของคนที่ไม่เจอกันนาน แต่ไปไงมาไงไม่รู้ก็พูดมาถึงเรื่องสิวจนได้ พี่เอกบอกว่าเค้าไปหาหมอรักษาสิวมา พอเข้าเรื่องนี้เท่านั้นแหละผมยิงคำถามเป็นชุดเลยครับ กะว่าไม่ให้แกได้หยุดพักหายใจเพราะเวลามีน้อยต้องใช้สอยอย่างประหยัด ถามอย่างละเอียดเก็บมาทุกเม็ดเพื่อจะเอามาเล่าให้ผู้อ่านทุกคนฟังนี่แหละครับ ว่าแล้วเราก็มาเริ่มกันเลยดีกว่า อ้อ!!! ลืมบอกไป ว่าเรื่องที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงไม่ได้มีผลประโยชน์แอบแฝงหรือมีเจตนาไม่ดีแต่ประการใด เพราะจะมีการพูดถึงคลินิกรักษาสิว 3 แห่งด้วยกัน
เริ่มจากหมอรักษาสิวที่นนทเวช
การรักษาสิวครั้งแรกของพี่เอกเริ่มต้นขึ้นที่โรงพยาบาลนนทเวช โดยพี่แกให้เหตุผลที่เลือกรักษาสิวกับที่นี่ก่อนเพราะคิดว่านนทเวชเป็นโรงพยาบาล และอาการสิวที่หน้าของพี่แกนั้นน่าจะเป็นเรื่องของโรคผิวหนัง ก็น่าจะต้องไปหาหมอรักษาโรคผิวหนังโดยตรงน่าจะดีกว่า ก็เลยตัดสินใจมาที่นี่เป็นที่แรก ซึ่งการรักษาก็เหมือนกับคลินิกรักษาสิวทั่วๆไปคือ ให้ยามาทารักษาสิว ยากิน กดสิว ไปหาครั้งหนึ่งก็ประมาณ 1,000 บาท ไปหาอยู่ 3 ครั้ง หมดไป 3,000 กว่าบาท แต่รู้สึกว่าหน้าไม่ดีขึ้นก็เลยตัดสินใจไปที่ใหม่ดีกว่า
รักษาสิวครั้งที่ 2 ที่ พรเกษมคลินิก
หลังจากที่การรักษาสิวครั้งแรกไม่ค่อยได้ผล พี่เอกก็ตัดสินใจไปรักษาสิวที่พรเกษมคลินิก โดยให้เหตุผลของการไปรักษาสิวที่นี่ว่า พรเกษมดูน่าจะเป็นคลินิกรักษาสิวโดยตรงมากกว่า และคิดว่าน่าจะมีหมอจากโรงพยาบาลดีๆที่เชี่ยวชาญมารักษาโดยตรง ก็เลยตัดสินใจเข้ารับการรักษาสิวอีกครั้ง ด้วยความหวังที่ว่าจะทำให้สิวบนหน้าหายไปได้บ้าง วิธีการรักษาสิวที่พรเกษมคลินิก ก็มีการให้ยาทารักษาสิว ทั้งยาทาก่อนล้างหน้า หลังล้างหน้า ยากินแก้อักเสบ และนอกจากนี้ยังมีการให้ทำเลเซอร์รักษาสิวซึ่งพี่เอกก็บอกไม่ได้ว่ามันชื่ออะไร แต่ถ้าให้ผมเดาน่าจะเป็น IPL นะ แกบอกว่าหมอก็ยิงให้เป็นจุดๆ จุดที่เป็นสิว ตอนถูกยิงก็รู้สึกเจ็บๆคันๆเหมือนมดกัด แต่ก็ไม่ได้มีแผลอะไร ตื่นเช้ามาก็ไปทำงานได้ตามปกติ รักษาอยู่สักพัก หมดไปหมื่นกว่าบาท แกบอกว่าวันไหนที่มียิงเลเซอร์รักษาสิวก็จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 3,000 บาท (รวมค่ารักษากับค่ายาด้วย) ระยะห่างในการยิงก็ 2 สัปดาห์ต่อ 1 ครั้ง รักษาอยู่ประมาณเดือนกว่าๆ ก็รู้สึกว่ามันยังไม่โดน สิวก็ยังไม่หายแถมหมดเงินไปเยอะก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนคลินิกรักษาสิวอีกครั้ง
รักษาสิวครั้งที่ 3 ที่ วุฒิศักดิ์คลินิก
สุดท้ายมาลงเอยที่วุฒิศักดิ์คลินิก ซึ่งเป็นคลินิกรักษาสิวที่พี่เอกพยายามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด เหตุผลก็เพราะว่าวุฒิศักดิ์คลินิกภาพลักษณ์จะดูเน้นไปในเรื่องความสวยงามซะมากกว่า ด้วยความที่พี่แกเป็นสิวหนักก็เลยคิดว่าที่วุฒิศักดิ์คลินิกไม่น่าจะตอบโจทย์ แต่พอไปรักษาจริงๆกลับกลายเป็นที่นี่ที่ช่วยให้อาการสิวบนหน้าดีขึ้น ซึ่งผม Confirm ว่าดีขึ้นมากจริงๆ ผมก็เลยสอบถามถึงขั้นตอนการรักษารวมไปถึงยาที่ทางคลินิกให้มาว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งผมขอสรุปออกมาดังนี้
ยาทารักษาสิว
- ยาทาละลายสิวก่อนล้างหน้า
- ยาแต้มสิวอักเสบ
- ยาทาแก้ผดผื่นคัน
- ยาลบรอยสิว
- ยาทาหลังล้างหน้า
- โฟมล้างหน้า
- ครีมกันแดดแบบน้ำ
ยากินรักษาสิว
- ยาแก้อักเสบ (ผมคิดว่าอาจจะเป็น Amoxicillin)
- ยาแก้อักเสบเม็ดสีชมพู (ผมคิดว่าอาจจะเป็น Acnotin )
โดยพี่เอกก็จะทายาตามขั้นตอนที่ได้รับคำแนะนำมา แต่พี่แกบอกว่าบางทีก็ทาบ้างไม่ทาบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ทานั่นแหละครับ ส่วนยากินจะกินวันละ 3 เม็ด โดยกินยาแก้อักเสบแบบธรรมดา 2 เม็ด และกินยาแก้อักเสบเม็ดสีชมพูอีก 1 เม็ด แต่หมอแนะนำมาว่าควรกินหลังอาหารตอนเที่ยงจะดีที่สุด อาจเป็นเพราะยาที่กินมันมีความระคายเคืองสูง พี่เอกก็ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไปหาหมออาทิตย์ละครั้ง กดสิวบ้าง ทำทรีทเม้นต์บ้าง รักษานาน 2 เดือน หน้าก็ดีขึ้นมาก สิวที่เคยเห่อขึ้นลดลงอย่างเห็นได้ชัด เท่าที่สังเกตก็มีแต่สิวเม็ดเล็กๆ สิวอุดตันหัวดำ กับรอยสิวที่ยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ผมว่าพี่แกมาถูกทางแล้วล่ะครับ ก็รู้สึกดีใจกับพี่เอกด้วยจริงๆ คิดว่าถ้ารักษาต่อเนื่องไปอย่างนี้ ไม่เกิน 3 เดือนหน้าของพี่แกน่าจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
นี่ก็เป็นประสบการณ์การรักษาสิวของพี่เอกพี่ชายที่ผมเคารพรักมากคนหนึ่ง ได้เห็นหน้าพี่แกดีขึ้นอย่างนี้ผมก็รู้สึกดีใจไปกับเค้าด้วย ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้มีส่วนร่วมในการรักษาสิวครั้งนี้เลยก็ตาม ก่อนจากกันวันนี้ผมอยากจะเน้นย้ำอีกทีว่า เรื่องที่เล่าในวันนี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะให้เครดิตหรือดิสเครดิตใคร เป็นเรื่องที่ผ่านการบอกเล่าจริงทุกประการ ซึ่งผมมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาของการรักษาสิว ไม่จำเป็นที่ว่าคลินิกรักษาสิวที่คนอื่นบอกว่าดี พอเราไปรักษาก็จะดีเหมือนเค้า หรือคลินิกไหนที่บอกว่าไม่ดี เราไปรักษาก็อาจจะดีก็ได้ อย่างในเคสการรักษาสิวของพี่เอกนี้ ความจริงแล้วที่พี่เอกหายเป็นสิวมาได้ อาจจะเกิดจากการรักษาสิวของทั้ง 3 คลินิกรวมกันๆก็ได้ใครจะรู้
สุดท้ายนี้ผมขอฝากไว้ว่า การรักษาสิวมีอยู่หลายวิธี ไม่มีวิธีไหนที่ถูกหรือผิดเสมอไป มีแต่วิธีการรักษาสิวที่เหมาะหรือไม่เหมาะกับตัวเราเท่านั้น หน้าที่ของเราคือต้องค้นหาวิธีรักษาสิวที่เหมาะสมกับตัวเรามากที่สุดให้เจอ และปัญหาสิวที่อยู่กับเรามานาน ก็จะหายไปได้อย่างแน่นอนครับ Acnedefend ก็ขอเป็นกำลังใจให้คนเป็นสิวทุกๆคน หายไวไว นะครับ ^^
0 ความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น